วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

Never mind ไม่ได้แปลว่า ไม่เป็นไร Never mind แปลว่า ช่างมันเถอะ ตะหาก [Learning English]


Never mind..never mind
ช่างมันเต๊อะ ช่างมันเถอะ



อาจารย์อดัมสอนว่า
Never mind 
อ่านว่า [ เนฟ'เฟอร มายนฺดฺ ]

และความหมายของคำว่า never mind ที่แท้จริงแล้วนั้นจะใช้ในกรณีที่เราอธิบายอะไรให้คนอีกคนฟังหรือคนอื่นฟัง หรือถามอะไรไปซักอย่าง แล้วเค้าไม่เข้าใจ เราก็เลยบอกเค้าว่า never mind

ความหมายจะประมาณว่า

"ฉันขี้เกียจอธิบายเธอต่อแล้วนะ" เทียบได้กับคำว่า "ช่างมันเต๊อะ ช่างมันเถอะ" หรือ "ลืมมันซะ"
You don't understand งั้นหรือ
งั้น
Never mind!


ก็ใช้ผิดมาบ่อยเหมือนกันค่ะ >_< กรณีที่มีคนมาขอบคุณเรา

งั้นเวลาที่มีคนมาขอบคุณเรา แล้วเราต้องการพูดกลับไปในความหมายประมาณว่า ไม่เป็นไร นั้น
เราควรจะพูดดังนี้ค่ะ

No problem!
ไม่มีปัญหา

It's nothing!
ไม่เป็นไร

Not a problem!

No big deal!
ไม่ใช่เรื่องใหญ่

It's my pleasure! or my pleasure.

You're welcome.

ตัวอย่าง

Kate say:
Can you hear me?
คุณได้ยินที่ฉันพูดมั้ย?

Sunny say:
Ha!! What??
หา!! อะไรน้าา???

Kate say:
I said "Can you hear me or not?"
ฉันพูดว่า คุณได้ยินที่ฉันพูดรึเปล่า?

Sunny say:
Pardon me!
ขอโทษนะ ว่าอะไรนะ

Kate say:
Oh God! Never mind.
โอ พระเจ้า..ช่างมันเถอะ (ไม่ได้ยินก็ไม่ได้ยิน ไม่เป็นไร)

อุ๊ยย..สถานการณ์นี้เคทคงอยากเปิ๊ดกะโหลกพ่อซันนี่มากค่ะ

^___^






**หมายเหตุ ความรู้ที่นำมาเผยแพร่ ไม่ได้เพื่อธุรกิจแต่อย่างใด เผยแพร่เพื่อความรู้เท่านั้น และนำมาจากการอ่านหนังสือทั้งที่เป็นหนังสือ อินเตอร์เน็ต หน้าเพจ และตามความเข้าใจภาษาอังกฤษแบบไทยๆ ของเรา ขอบคุณที่แวะเวียนเข้ามาอ่าน และขอให้สนุกกับการทดลองใช้ภาษาอังกฤษกันค่ะ**

เกรงใจ..ความเกรงใจ...จะพูดอย่างไรดี III [English Conversation]


ไม่ต้องเกรงใจ ตามสบาย

จากบทความเดิม 2 ฉบับที่พูดถึงเรื่องของความเกรงใจ
http://thailearningenglish.blogspot.com/2014/05/i-english-conversation.html
http://thailearningenglish.blogspot.com/2014/05/ii-english-conversation.html

มาต่อกันในเรื่องของอีกฝ่าย กรณีที่เราเป็นฝ่ายจะบอกคนอื่นว่า ไม่ต้องเกรงใจ
เช่น โทรมาได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ บอกมาตรงๆ ได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ
ตำราบอกมาว่า เลือกพูดตามด้านล่างได้เลยค่ะ :)

feel free to...
Don't be afraid to...
Don't hesitate to...

เช่น

If you are in town, feel free to stop by.
ถ้าเธอเข้าเมืองมา แวะมาหาฉันได้นะ ไม่ต้องเกรงใจ

Don't be afraid to tell him how you feel.
ไม่ต้องกลัวที่จะบอกเค้าว่าเธอรู้สึกอย่างไร

Don't hesitate to drop me a line if you need someone to talk to.
ไม่ต้องเกรงใจนะ โทรมาได้เลยถ้าเธอต้องการคุยกับใครสักคน

Feel free to contact me anytime.
Don't be afraid to call me anytime.
Don't be hesitate to call me anytime.
โทรมาได้เลยตลอดเวลาน้าาา ไม่ต้องเกรงใจ



ส่วนกรณีที่เราเป็นเจ้าภาพ หรือเจ้าของบ้าน เวลาที่มีแขกมาเยี่ยมเยือนหรือมางานของเรา
เราสามารถพูดได้ตามนี้นะ

Make yourself at home.
ตามสบายนะ

Help yourself to the food and drinks.
ทานอาหารกันตามสบายนะ


เพียงเท่านี้คุณก็สามารถสร้างสรรค์บทสนทนาใหม่ๆ กับเพื่อนๆ ได้แล้วค่ะ เราลองมาแล้ว โอเค...:)




**หมายเหตุ ความรู้ที่นำมาเผยแพร่ ไม่ได้เพื่อธุรกิจแต่อย่างใด เผยแพร่เพื่อความรู้เท่านั้น และนำมาจากการอ่านหนังสือทั้งที่เป็นหนังสือ อินเตอร์เน็ต หน้าเพจ และตามความเข้าใจภาษาอังกฤษแบบไทยๆ ของเรา ขอบคุณที่แวะเวียนเข้ามาอ่าน และขอให้สนุกกับการทดลองใช้ภาษาอังกฤษกันค่ะ**

วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

เกรงใจ..ความเกรงใจ...จะพูดอย่างไรดี II [English Conversation]


ความเกรงใจ เกรงใจ...
ฉันเกรงใจเธอจัง...จะพูดอย่างไรดี

จากบทความที่แล้ว
http://thailearningenglish.blogspot.com/2014/05/i-english-conversation.html


เรามาต่อกันด้วยคำว่า

trouble [ ทรับ' เบิล ]
เป็น verb ที่แปลตรงๆ ได้ว่า สร้างปัญหา

แต่ถ้านำมาใช้ในรูปประโยคเพื่อสื่อความหมายว่า "ไม่อยากสร้างปัญหา" ก็จะสื่อถึงความเกรงใจได้ค่ะ

I don't want to trouble you.
I would not want to trouble you.
ทั้ง 2 ประโยค สื่อได้ว่า ฉันไม่อยากสร้างปัญหาให้คุณ นั่นเอง

หรือ

Am I troubling you?
Are you sure I'm not troubling you?
ฉันสร้างปัญหาให้คุณรึเปล่าเนี่ย??

ง่ายดีเนอะ รูปประโยคก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไร เราสามารถนำไปใช้ในการสนทนาพูดคุยได้จริงๆ เลยค่ะ :)

แต่ทีนี้มันก็มีอีกนะคะ นอกจาก 2 คำข้างต้น bother & trouble แล้ว

กรณีที่...

เกรงใจ แนวๆ คิดถึงความรู้สึกคนอื่น นึกถึงใจเค้าใจเรา
เช่น เกรงใจคนอื่น ไม่อยากเปิดเพลงเสียงดัง เดี๋ยวเค้ารำคาณ เกรงใจกลัวเค้าลำบากใจ เค้าอึดอัดใจ อะไรทำนองนี้

ประมาณนี้ เราสามารถใช้คำว่า

considerate [ คันซิด' เดอเรท ]
ซึ่งเป็น adj ในการสื่อสารได้

ส่วนคนที่มีบุคลิกลักษณะข้างต้น เราก็ใช้คำว่า considerate ได้เช่นกัน

ตัวอย่าง

Please be considerate of other's feelings.
โปรดคิดถึงความรู้สึกผู้อื่นด้วย

Marry is one of the most considerate people I know.
แมรี่เป็นคนขี้เกรงใจมากที่สุดเท่าที่ฉันเคยรู้จักคนมา

Kate was considerate and lower his voice in the theater.
เคทเกรงใจและพูดเบาลงในโรงหนัง

Sunny is a considerate person.
ซันนี่เป็นคนขี้เกรงใจ

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------

ตัวอย่างประโยคสนทนา

สถานการณ์จำลอง:
Alice คุยกับ Marry เรื่องที่ Sunny เป็นคนขี้เกรงใจ

Alice say:
Sunny is such a considerate person.
ซันนี่เป็นคนขี้เกรงใจนะเธอ

Marry say:
Why would you say that?
ทำไมเธอคิดว่างั้นล่ะ?

Alice say:
He would not want to trouble anyone,
even if he has to go through trouble.
เขาจะไม่ยอมรบกวนใครเลย แม้ว่าจะต้องเจอกับปัญหาอะไรก็ตาม

He would try not to ask for help from others because he feels like he will bother them too much.
เขาก็จะพยายามไม่ขอความช่วยเหลือจากใคร เพราะเขาไม่ต้องการจะรบกวนใคร

Marry say:
Oh! he's really considerate of others' feelings.
อ้อ เขาเห็นหกเห็นใจคนอื่นจริงๆ นะเนี่ย


แล้วถ้าเราจะบอกเขาว่า "ไม่ต้องเกรงใจ ตามสบาย" บทความหน้าเจอกันค่ะ มาดูกันว่าเราจะต้องพูดว่าอย่างไร :)



**หมายเหตุ ความรู้ที่นำมาเผยแพร่ ไม่ได้เพื่อธุรกิจแต่อย่างใด เผยแพร่เพื่อความรู้เท่านั้น และนำมาจากการอ่านหนังสือทั้งที่เป็นหนังสือ อินเตอร์เน็ต หน้าเพจ และตามความเข้าใจภาษาอังกฤษแบบไทยๆ ของเรา ขอบคุณที่แวะเวียนเข้ามาอ่าน และขอให้สนุกกับการทดลองใช้ภาษาอังกฤษกันค่ะ**


เกรงใจ..ความเกรงใจ...จะพูดอย่างไรดี I [English Conversation]


ความเกรงใจ เกรงใจ...
ฉันเกรงใจเธอจัง...จะพูดอย่างไรดี

จริงๆ แล้วในภาษาอังกฤษ เค้าไม่มีคำศัพท์คำเดียวที่สื่อความหมายถึงคำว่า "เกรงใจ"
แต่เค้ามีวิธีการพูด ประโยคสนทนาหลายรูปแบบ ที่เราฟังแล้วจะสื่อไปในความหมายของคำว่า "เกรงใจ" แบบไทยๆ

"เกรงใจ ไม่อยากรบกวน" 

นี่เลยค่ะ มี 2 คำพูดที่สามารถนำมาใช้ในสถานการณ์แบบนี้ได้ ซึ่งก็คือ
bother และ trouble


bother [ บอธ'เธอร์ ]
เป็น Verb ที่แปลว่า รบกวน

พอนำไปใช้กับประโยคคำถาม หรือนำไปใช้กับประโยคที่มีความหมายว่า ไม่ต้องการจะรบกวน ก็จะสามารถสื่อถึงความเกรงใจได้ค่ะ

ยกตัวอย่างนะคะ

I would not want to bother you.
I don't want to bother you.
ทั้ง 2 ประโยคสื่อความหมายได้ประมาณว่า "ฉันไม่ต้องการจะรบกวนคุณ" นั่นเอง

Am I bother you?
ฉันรบกวนคุณรึเปล่า?

Sorry to bother you.
ขอโทษที่รบกวนคุณ


ทั้งนี้บางครั้งเราอาจใช้คำว่า bother เป็นคำนาม Noun ได้นะคะ
ซึ่งจะแปลเป็น การรบกวนเพื่อสื่อความหมายในทำนองว่า

"มันจะเป็นการรบกวนมั้ย ถ้า...."

Would it be a bother if......

ยกตัวอย่างนะ

Would it be a bother if I borrow your book?
จะเป็นการรบกวนมั้ย ถ้าฉันจะขอยืมหนังสือของคุณ?

Would it be a bother if I get a ride with you?
จะเป็นการรบกวนมั้ย ถ้าฉันจะขอติดรถคุณไปด้วย?

Would it be a bother if I ask you some questions?
จะเป็นการรบกวนมั้ย ถ้าฉันจะขอถามอะไรซักนิสสส?

คำตอบนะคะ

No, I wouldn't
No, it wouldn't be a bother at all
ไม่เลย ไม่เป็นการรบกวนจ้าา :)

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------

ตัวอย่างประโยคสนทนา

สถานการณ์จำลอง:
Sunny สั่งของที่ระลึกไว้ที่ร้านค้าแห่งหนึ่ง และต้องไปรับเอง
Alice ไปจะที่ร้านพอดี อาสาจะไปรับมาให้ แต่ Sunny เกรงใจ ไม่อยากรบกวน

Sunny say:
I will have to go to souvenir shop tomorrow to get souvenirs I ordered.
ผมจะต้องไปที่ร้านขายของที่ระลึกวันพรุ่งนี้ เพื่อจะไปรับของที่ระลึกที่สั่งไว้

I thought they would deliver, but they just called and told me that they don't deliver anymore.
ผมนึกว่าเค้าจะมาส่งซะอีก แต่พวกเค้าโทรมาบอกว่า เค้าไม่ส่งสินค้าอีกแล้ว

Alice say:
Well, I will be downtown anyway tomorrow.
Why don't I pick souvenirs up for you?
ฉันก็จะเข้าเมืองพรุ่งนี้นะ ทำไมไม่ให้ฉันไปรับให้ล่ะ?

Sunny say:
Oh no. I would not want to bother you.
โอ ไม่ดีกว่า ผมไม่อยากรบกวนคุณ

Alice say:
It would not be a bother at all.
Give me the receipt.
มันไม่ได้เป็นการรบกวนเลยแม้แต่นิดเดียว เอาใบเสร็จมาให้ฉันเถอะ

I'll go pick it up for you tomorrow.
เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปรับให้ :)

Sunny say:
That's so nice of you.
Thank you.
ขอบคุณมากเลยนะ

ลองนำไปปรับใช้กันดูนะคะ ลองปรับเปลี่ยนรูปแบบสถานการณ์ดู น่าจะไม่ยากเกินไปค่ะ
เดี๋ยวคราวหน้าเราจะมาต่อกันด้วยคำว่า trouble ปัญหามันจะมาเกี่ยวกับความเกรงใจกันอย่างไรน้าาาา???





**หมายเหตุ ความรู้ที่นำมาเผยแพร่ ไม่ได้เพื่อธุรกิจแต่อย่างใด เผยแพร่เพื่อความรู้เท่านั้น และนำมาจากการอ่านหนังสือทั้งที่เป็นหนังสือ อินเตอร์เน็ต หน้าเพจ และตามความเข้าใจภาษาอังกฤษแบบไทยๆ ของเรา ขอบคุณที่แวะเวียนเข้ามาอ่าน และขอให้สนุกกับการทดลองใช้ภาษาอังกฤษกันค่ะ**